วัคซีนไข้หวัดใหญ่จำเป็นแค่ไหน ทำไมต้องฉีดทุกปี?
เพราะเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จะมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อยู่เรื่อยๆ ในการผลิตวัคซีนแต่ละปี จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ตามเชื้อไวรัสด้วยเช่นกัน เพื่อป้องกันร่างกายจากไข้หวัดใหญ่ เราจึงควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี
ส่วนใครที่ฉีดวัคซีนโควิดแล้ว ต้องเว้นระยะก่อนฉีด 1 เดือน
ในประเทศไทย พบการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ได้ทั้งปี แต่จะพบมากขึ้นในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว จึงมีความจำเป็นที่จะต้องฉีดวัคซีนทุกปีเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน โดยสามารถฉีดซ้ำได้ภายใน 6 เดือน ถึง 1 ปี
อาการของโรคไข้หวัดใหญ่
หลังจากได้รับเชื้อ จะมีระยะฟักตัว 1-4 วัน จากนั้นจะเกิดอาการของระบบทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง มักมีอาการสำคัญที่เด่นชัด เช่น
- มีไข้สูง
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลียมาก
- มีน้ำมูก และไอ
สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ ในกรุงเทพฯ ข้อมูลจากระบบเฝ้าระวัง DDS ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 30 กันยายน พ.ศ. 2568 พบว่ามีผู้ป่วยสะสม 124,091 ราย เสียชีวิต 2 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 2,314.53 ต่อประชากรแสนคน อัตราตาย 0.037 ต่อประชากรแสนคน พบอัตราป่วยต่อประชากรแสนคนมากที่สุด 3 อันดับ คือ เขตบางรัก (14,657.36) รองลงมาเขตราชเทวี (12,931.42) และเขตพญาไท (8,644.86) ตามลำดับ ปี พ.ศ. 2568 พบว่าเดือนกันยายนผู้ป่วยมีแนวโน้มสูงขึ้น จำนวนผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอายุ 30 – 39 ปี (19,795 ราย) รองลงมา 5 – 9 ปี (19,416 ราย) และ 20 – 29 ปี (17,998 ราย) ตามลำดับ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีสัญชาติไทย (96,143 ราย) และพม่า ลาว กัมพูชา (1,504 ราย) ตามลำดับ
ผลกระทบต่อร่างกายเมื่อติดเชื้อไข้หวัดใหญ่
- เซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจถูกทำลาย สามารถติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนได้ อาจทำให้หูชั้นกลางอักเสบหรือปอดบวม
- หลอดเลือดอักเสบมากขึ้น เพิ่มโอกาสไขมันในเส้นเลือดแตกไปอุดตันเส้นเลือด จึงเพิ่มความเสี่ยงการกำเริบของหัวใจและหลอดเลือด
- เกิดการอักเสบของหลอดลม ทำให้โรคปอด โรคหอบหืด และโรคถุงลมโป่งพองกำเริบจนมีอาการรุนแรงมากขึ้น
- เกิดความผิดปกติของระบบเผาผลาญ คนเป็นโรคเบาหวานจะมีน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ทำให้อาการของเบาหวานรุนแรงขึ้น
- ภาวะไข้สูง ร่างกายเกิดการเสียน้ำ ส่งผลให้ไตทำงานผิดปกติ
ใครบ้าง? ที่ควรฉีดวัคซีนป้องกัน
เพราะผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง อาจเกิดอาการรุนแรงหรือได้รับผลแทรกซ้อนจากโรคไข้หวัดใหญ่ได้สูง รวมถึงผู้ดูแลใกล้ชิดกลุ่มเสี่ยงดังกล่าว ดังนั้น ผู้ที่ควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ จึงได้แก่
- เด็กเล็กตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป
- ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคปอด หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย โรคตับ มะเร็ง เบาหวาน ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- ผู้ที่มี BMI มากกว่า 35 หรือน้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัม
- ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
- หญิงมีครรภ์ ที่อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป
- บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการ
- ผู้ที่กำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรป จีน และในประเทศที่มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่
ประโยชน์ของการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
- ป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้ 70 ถึง 90%
- ลดการติดเชื้อในหูชั้นกลางในเด็กได้ 36%
- ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ในผู้สูงอายุ มากกว่า 65 ปี ได้ 60%
- ลดอัตราการตายจากโรคไข้หวัดใหญ่ในผู้สูงอายุ มากกว่า 65 ปี ได้ 70 ถึง 80%